วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558



"ชมพู่มะเหมี่ยว"
ประโยชน์เปรี้ยวอมหวาน
"ชมพู่มะเหมี่ยว" มีลักษณะผลคล้ายลูกแอปเปิ้ล และมีกลิ่นหอมคล้ายๆ กลิ่นดอกกุหลาบ มีทั้งวิตามินเอและวิตามินซีสูง ป้องกันโรคหวัด เลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และนอกจากนั้น ผลไม้สีแดงอย่างชมพู่มะเหมี่ยวก็ยังมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่นี้ช่วยลบล้างสารก่อมะเร็ง แถมสารแอนโทไซยานินยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตได้อีกด้วย ชมพู่มะเหมี่ยวมีรสชาติหวานอร่อย เนื้อนุ่ม น่ารับประทานจึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
วิธีการเพาะปลูกชมพู่มะเหมี่ยวนั้น มีด้วยกันหลายวิธี เริ่มแรกขยายพันธุ์ด้วยการใช้การเพาะเมล็ดในถุงพลาสติก ซึ่งมีขุยมะพร้าวและปุ๋ยคอกผสมอยู่ด้วย รดน้ำทุกวัน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ข้อเสียคือ เมื่อโตขึ้นลำต้นจะสูง ให้ผลผลิตช้า และที่สำคัญคือกลายพันธุ์ได้ง่าย จึงหันมาใช้วิธีทาบกิ่งแทน ซึ่งปรากฏว่าได้ผลผลิตดีกว่าวิธีแรก เนื่องจากการทาบกิ่งพันธุ์เป็นการช่วยเสริมความแข็งแรงของราก และการเจริญเติบโตของลำต้นก่อนนำไปปลูกได้ดี ยังเป็นการย่นระยะเวลาในการเลี้ยงต้นพันธุ์ และต้นของชมพู่มะเหมี่ยวก็ยังเป็นพุ่มสวยงาม ต้นกล้าที่ได้จากการทาบกิ่งเมื่ออายุได้ 6 เดือนก็สามารถย้ายไปปลูกได้เลย ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการดูแลรักษาซึ่งก็ไม่ยุ่งยากมากนัก เพียงแต่รดน้ำวันเว้นวัน และให้ปุ๋ยตามความจำเป็น คือให้ปุ๋ยสูตรเสมอ15-15-15 ช่วงก่อนออกดอก ส่วนในช่วงให้ผลผลิตต้องใช้สูตร 13-13-2
ชมพู่มะเหมี่ยวจะให้ผลผลิตเมื่ออายุ 3-5 ปี ในระยะแรกจะให้ผลผลิตประมาณ 20-30 กิโลกรัมต่อ1 ต้น เมื่อลำต้นมีอายุเกิน 10 ปีขึ้นไป ก็จะให้ผลผลิตประมาณ 60-80 กิโลกรัมต่อ 1 ต้นและต่อ1 ปี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและดินฟ้าอากาศด้วย ส่วนเรื่องการป้องกันและการกำจัดศัตรูพืชในชมพู่มะเหมี่ยว ศัตรูที่สำคัญของชมพู่มะเหมี่ยวคือหนอนที่ชอบเจาะเข้าไปทำลายลำต้น ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยหลาวไม้ทำเป็นลิ่มตอกอัดเข้าไปตรงรูที่หนอนเจาะ หนอนจะตายไปเอง ส่วนหนอนด้วงที่กัดกินใบ ที่ชอบระบาดในหน้าหนาว ควรใช้สารเคมีจำพวก "เมตโธมิล" หรือ "แลนเนต" ผสมกับสารป้องกันเชื้อรา ฉีดพ่นในช่วงชมพู่มะเหมี่ยวเริ่มติดผลเท่านั้น ซึ่งจะไม่เกิน 3 ครั้งต่อ 1 ปี แต่ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรฉีดพ่นสารเคมีใดๆ ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเคมี อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้
ช่วงเวลาการติดดอกถึงดอกบานของชมพู่มะเหมี่ยว ใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ช่วงติดผลอ่อนจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวจะใช้เวลาประมาณ 60 วันเมื่อผลชมพู่เริ่มโตประมาณหัวนิ้วมือและมีสีแดงออกเรื่อๆ เกษตรกรจะเริ่มใช้ถุงพลาสติกชนิดมีหูหิ้วขนาด 8 คูณ 10 นิ้ว ห่อผลชมพู่ เมื่อผลชมพู่มะเหมี่ยวแก่ได้ที่ก็จะออกสีแดงเข้ม และส่งกลิ่นหอมแสดงว่าพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะต้องระวังในการเก็บเกี่ยวเป็นพิเศษ ไม่ให้ผลช้ำเพราะชมพู่มะเหมี่ยวเป็นผลไม้ที่มีผิวเปลือกบาง และมีอายุในการขายค่อนข้างสั้น หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้วก็จะนำมาบรรจุในเข่งที่มีความหนาเป็นพิเศษบุด้วยใบตองทุกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผลชมพู่กระทบกัน
บ้านไหนมีฝีมือในการทำกับข้าวก็สามารถเก็บเอาเกสรเหล่านี้ไปปรุงเป็นอาหารจานเด็ดอย่าง "ยำเกสรชมพู่" ได้อร่อยกันไป หรือใครจะนำยอดอ่อน (ใบอ่อน) มากินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกก็ได้เช่นกัน



ชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้ ชื่อสามัญ Rose Apple[2]
ชมพู่น้ำดอกไม้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium jambos (L.) Alston จัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ (MYRTACEAE)[1]
สมุนไพรชมพู่น้ำดอกไม้ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะชมพู่ มะน้ำหอม (พายัพ), ชมพู่น้ำ ฝรั่งน้ำ (ภาคใต้), มะห้าคอกลอก (แม่ฮ่องสอน), มซามุด มะซามุต (น่าน), ยามูปะนาวา (มลายู-ยะลา) เป็นต้น[1],[2]
ลักษณะของชมพู่น้ำดอกไม้
ต้นชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโด-มาลายัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่นเดียวกับชมพู่แดง มีความสูงของต้นประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นพอเหมาะ ชอบแสงแดดส่องถึงแบบเต็มวัน ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หลักอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ที่มาจากประเทศไทยผลจะเป็นสีเขียวอ่อน และพันธุ์ที่มาจากประเทศมาเลเซียผลเป็นจะเป็นสีแดง โดยจะให้ผลหลังการปลูกประมาณ 2 ปี มักขึ้นตามป่าราบทั่วไป พบปลูกกันบ้างตามสวนเพื่อรับประทานหรือขายเป็นสินค้า
ผลชมพู่น้ำดอกไม้ ผลเป็นผลสดใช้รับประทานได้ ผลเป็นผลเดี่ยว ผลมีลักษณะเกือบกลม ผลดูคล้ายกับลูกจันสีเหลือง ปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 กลีบ ภายในผลกลวง ผลมีกลิ่นหอมคล้ายกับดอกนมแมว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม ผลดิบเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่สุกแล้วจะเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทอง เนื้อด้านในบางเป็นสีขาวนวลหรือสีเขียวอ่อน ส่วนเมล็ดเป็นสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่ มีรสหวานหอมชื่นใจ โดยจะเริ่มออกผลในช่วงปลายฤดูหนาว (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน)
การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ ทำได้ด้วยการนำเมล็ดหรือกิ่งตอนลงปลูก เกลี่ยดินกลบ แล้วนำใบตองมาปิดบริเวณโคนต้นเพื่อช่วยเก็บความชื้น เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง ถ้าเป็นกิ่งตอนให้ทำไม้ปักยึดผูกกับต้นไว้ด้วย เพื่อป้องกันการโค่นล้มจากลม ส่วนการป้องกันไม่ให้ต้นเฉา ควรนำมาปลูกใกล้บริเวณริมคลอง เนื่องจากพรรณไม้ชนิดนี้เป็นไม้ผลที่ชอบน้ำ และควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้านประมาณ 2 เมตร ชมพู่น้ําดอกไม้เป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว สามารถให้ผลได้ภายใน 2 ปี การดูแลรักษาก็ง่าย ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง เพียงแต่ห่อผลด้วยถุงพลาสติกเพื่อป้องกันแมลง กระรอก และนกมารบกวนเท่านั้น
สรรพคุณของชมพู่น้ำดอกไม้
-ผลใช้ปรุงเป็นยาชูกำลัง (ผล)
-ผลมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ (ผล)
-เปลือก ต้น และเมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาแก้เบาหวาน (เปลือก,ต้น,เมล็ด)
-ช่วยแก้ลมปลายไข้ (ผล)
-ใบมีสรรพคุณเป็นยาลดไข้ (ใบ)
-ใบใช้เป็นยาแก้ตาอักเสบ (ใบ)
-ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย (เปลือก,ต้น,เมล็ด)
- เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ท้องร่วงได้ดี (เปลือกต้น)
-เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิด (เมล็ด)
-ใบสดนำมาต้มกับน้ำใช้ล้างแผลสด (ใบ)
-ใบสดใช้ตำพอกรักษาโรคผิวหนัง (ใบ)






ชมพู่แก้มแหม่ม ชื่อวิทยาศาสตร์Syzygium samarangense เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Myrtaceae กิ่งก้านโค้งงอ ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ใบเหนียวคล้ายหนัง มีจุดใสบนใบ ก้านใบใหญ่ ดอกดอกตามยอดและซอกใบของใบที่ร่วงไปแล้ว ดอกช่อ กลีบเลี้ยงเป็นหลอดยาว กลีบดอกสีขาวอมเหลือง เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด ผลคล้ายลูกแพร์ มีปลายของกลีบเลี้ยงที่โค้งเข้าข้างในติดที่ปลายผล ผลสีแดงอ่อนจนถึงขาว เนื้อสีขาวคล้ายฟองน้ำ ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดแบนหรือกลม
มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนิยมปลูกไปทั้งภูมิภาค ในอินโดนีเซียนิยมนำไปทำโรยักหรือนำไปดองที่เรียกอาซีนัน เปลือกผลมีลักษณะคล้ายไขเคลือบ เนื้อค่อนข้างแห้ง มีกลิ่นหอม ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประ ประเทศมาเลเซียใช้ใบรักษาโรคผิวหนัง
ลักษณะ : เป็นไม้ผลลำต้นเดี่ยวทรงสูงตั้งตรงมีผิวผิวเปลือกลำต้นที่เป็นรอยขรุขระ แตกกิ่งก้านออกมากพอควร ใบ : เป็นรูปหอกปลายแหลมค่อนข้างยาว ส่วนแคบของใบกว้าง 3 - 5 เซนติเมตร และยาว 15 - 20 เซนติเมตร ใบหนาเป็นมันขอบใบเรียบและก้านใบสั้น ดอก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 7 เซนติเมตร มีสีขาว เกสรตัวผู้ มีจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผล ผลและรูปร่างของผลเป็นรูปทรงกลมแบนหรือรูปสามเหลี่ยมฐานกว้าง มีสีขาวอ่อนเนื้อขาวบางและกรอบ รสหวานมีกลิ่นหอม เมล็ด : เป็นสีน้ำตาล มีจำนวน 1 - 2 เมล็ด ถ้ามี 2 เมล็ด จะมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมประกัน 

ประโยชน์ : สามารถปลูกประดับตกแต่งสนามในเนื้อที่บ้านขนาดเล็กได้สามารถปลูก จำหน่ายผลผลิต และเป็นไม้ผลเศรษฐกิจด้วยก็ได้ ให้ร่มเงา สดชื่น ทางด้านสมุนไพร ผล ใช้ปรุงเป็นยาชูกำลังทำให้จิตใจเบิกบานใบ ใช้ลดไข้แก้เจ็บตา เมล็ดใช้แก้ท้องเสีย รักษาโรคเบาหวาน

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558



ชมพู่เพชรสายรุ้ง


ชมพู่เพชรสายรุ้ง มีแหล่งปลูกเดิมที่ จ.เพชรบุรี โดยในตอนแรกมีชื่อเรียกตามพื้นที่ปลูกว่า “ชมพู่เพชรบุรี” และด้วยความอร่อยมีรสชาติหวานกรอบหอมกว่าชมพู่พันธุ์ใดๆที่มีปลูกในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงมีชื่อเรียก ตามมาอีกหลายชื่อ เช่น “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” และ “ชมพู่สายน้ำผึ้ง” เป็นต้น ซึ่งก็คือ “ชมพู่เพชรบุรี” นั่นเอง ส่วนลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ จะมีดอกและติดผลให้เก็บรับประทานหรือเก็บผลขายได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งก็ตรงกับเทศกาลตรุษจีนพอดี เลยทำให้ผู้ปลูกในเชิงพาณิชย์ เก็บผลออกขายได้ราคาดีถึงกิโลกรัมละ 150–300 บาท เลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะมีวางขายเฉพาะตลาดผลไม้ใหญ่ๆและตามห้างสรรพสินค้าดังๆเท่านั้น ที่มีขายทั่วไปและผู้ขายบอกว่าชมพู่เพชรนั้นเป็นคนละพันธุ์กัน
สำหรับ วิธีดูว่าผลไหนเป็น “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” ให้สังเกตที่ผลของ “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” จะเป็นทรงระฆังคว่ำทุกผล ผลมีขนาดใหญ่ สีของผลเป็นสีเขียวปนชมพูและมีแถบหรือลายเส้นสีชมพูเป็นแนวตามยาวของผล บริเวณก้นผลจะตัดตรง ซึ่งชมพู่สายพันธุ์อื่นจะแตกต่างอย่างชัดเจน ที่สำคัญครีบบริเวณก้นผลจะม้วนเข้าไม่กางออกเหมือนชมพู่ทั่วไปที่จะกางออก เนื้อผลของ “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” จะหนากว่าเทียบกันได้ชัดเจน เนื้อเป็นสีขาว แน่นกรอบ รสชาติหวานสูงกว่าเนื้อชมพู่พันธุ์ใดๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก
ชมพู่เพชรสายรุ้ง หรือ EUQENIA JAVANICA LARNK ชื่อสามัญ ROSE APPLE อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE ปัจจุบันสามารถตัดแต่งต้นให้เตี้ย สูงแค่ 2-3 เมตรได้ เพื่อสะดวกในการเก็บผลนั่นเอง

ชมพู่เพชรสายรุ้ง” ผลไม้ขึ้นชื่อของ จ.เพชรบุรี มีความโดดเด่นที่รสชาติความหวานกรอบอร่อย จนได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดผลไม้ ใครที่ไปเพชรบุรีต่างหาซื้อชมพู่ติดไม้ติดมือไปเป็นของฝาก โดยเฉพาะหน้าร้อนเป็นโอกาสที่ดีที่ชมพู่กำลังออกผลจึง
ไม่ควรพลาดที่จะซื้อมาฝากผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างเกรดเอนั้น ตกกิโลกรัมละราวๆ 300 บาทเลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับจำนวนผลผลิต) หากใครจะไปหาซื้อชมพู่ที่สวนไพฑูรย์ ธาตุทอง ใน ต.ท่าแร้งออก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวสวนดั้งเดิมที่ปลูกชมพู่เพชรสายรุ้งได้มีรสชาติดี เพราะมีการพัฒนาสายพันธ์ุมานานกว่า 40 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อจนมีรสชาติที่อร่อยก็ต้องสั่งจองอย่างน้อย1 สัปดาห์ แต่หากสนใจจะซื้อเป็นต้นเพื่อนำไปปลูกที่บ้าน ตกต้นละ 5,000 บาทเลยทีเดียว

เสน่ห์ของชมพู่เพชรสายรุ้งที่แตกต่างจากชมพู่ทั่วๆ ไป คือ มีรสชาติหวานกรอบ เนื้อแน่น รสชาติของชมพู่นั้น คุณลุงไพฑูรย์เล่าว่า รสชาติจะอยู่ที่วิธีการปลูกและดูแลรักษาต้นชมพู่ โดยสวนชมพู่ของที่นี่จะมีวิธีการดูแลที่แตกต่างจากสวนอื่น  กล่าวคือใช้วิธีการเก็บผลผลิตในช่วงที่ชมพู่แก่โดยไม่ต้องรดน้ำ เพราะชมพู่จะดูดน้ำเข้าไปทำให้เนื้อจืด ไม่หวาน “ชมพู่เพชรเรามีการพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อยๆ ปลูกชมพู่ให้อร่อยขึ้นอยู่กับน้ำปรุง คือน้ำที่เราลดลงไปในดิน ดินแต่ละที่ปลูกชมพู่ได้มีรสชาติหวานไม่เหมือนกัน เพราะดินมีทั้งคลายน้ำง่าย คลายน้ำยาก การรดน้ำถ้าฝนตกการเกษตรผลไม้จะ ไม่ค่อยมีรสหวาน จากลูกค้าสั่ง 5-10 กิโลกรัม จากควรขาย 300 บาท อาจจะลดราคาลงเพราะรสชาติจะจืดลง” ชมพู่เพชรสายรุ้งมีผลผลิตกินตลอดทั้งปี แต่รสชาติไม่เหมือนกัน ช่วงหน้าร้อนรสชาติจะอร่อยที่สุด แต่ลูกไม่โต เนื้อแข็งถ้าจะให้กินอร่อยต้องกินช่วงเดือน ก.พ. มี.ค. ลูกค้าจะชอบใจในรสชาติที่หวาน แต่อยากกินหวานจัดต้องเดือน เม.ย. พ.ค.แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่มีฝนตก แต่ผลจะเล็ก จึงไม่ควรนำไปฝากผู้ใหญ่ ถ้าจะซื้อไปฝากเจ้านายลุงไพฑูรย์แนะว่าต้องมาราวๆ เดือน ม.ค. ก.พ. ยังมีรสชาติหวานโอเคอยู่ และผลโต สีสวยด้วย

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชมพู่ทูลเกล้า





    ลักษณะ
                       ชมพู่เป็นไม่ผลทรงพุ่มขนาดกลางเจริญเติบโตได้ดีทั่วไปในประเทศไทย ชอบสภาพดินร่วน และดินร่วนเหนียว ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง
              มีปริมาณน้ำฝนสม่ำเสมอ(ประมาณ) สภาพความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-6.5 หลังจากปลูกจะเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 2 ปี               และให้ผลต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 ปีช่องออกดอกจนถึงดอกบานจะใช้ระยะเวลา 20-25 วัน หลังจากดอกบานถึงผลแก่ประมาณ 30-45 วัน เมื่ออายุ 5-8 ปี
              ใน 1 กก. จะมีผลประมาณ 8-12 ผล ปกติชมพู่จะออกดอกในช่วง เดือนกุมภาพันธุ์ - เมษายน และสามารถบังคับให้ออกดอกทะวายเพื่อให้ออก              ในช่วงเดือนอื่น ๆ ได้

วิธีการปลูก
               1.  ใช้ต้นพันธุ์ชมพู่ที่ได้จากการตอนกิ่งหรือปักชำ
               2.  ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
               3.  ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 ซม.
               4.  ผสมดินปุ๋ยคอกจำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสแฟตจำนวน 500 กรัม เข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม
               5. ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุมโดยระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
               6.  ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)
               7.  ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก
               8. กลบดินที่เหลือลงในหลุม
               9.  กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
               10. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึดเพื่อป้องกันลมโยก
               11.  หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้นเช่นฟางข้าว หญ้าแห้ง
               12.  รดน้ำให้ชุ่ม
               13. ทำร่มเงาเพื่อช่วยพรางแสงแดด

ระยะปลูก
               6 x 6 เมตร ( แบบยกร่อง 5 x 7.5 เมตร)
               45 ต้น/ไร่ (แบบยกร่องปลูกได้ประมาณ 40 ต้น/ไร่)

การให้ปุ๋ย
              บำรุงต้น ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 หรือ 15-15-15
              สร้างตาดอก ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24
              บำรุงผล ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16
              ปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 ส่วนปริมาณการใช้ปุ๋ย 1- 2 กิโลกรัม / ต้น / ไร สำหรับต้นชมพู่อายุ 8 ปี
               และเพิ่มปริมาณมากขึ้น ตามอายุและทรงพุ่ม
การให้น้ำ
                       •  ระยะเริ่มปลูกควรให้น้ำวันละครั้ง
                       •  ระยะก่อนติดผล ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง โดยให้แต่ละครั้งจนดินมีความชุมชื้นเต็มที่
                       •  ระยะติดผลควรให้น้ำ 2-3 วัน/ครั้ง ถ้าดินเก็บความชื้นไม่ดีควรให้ทุกวันหรือวันเว้นวัน ควรให้น้ำ เต็มแอ่งรอบต้น และควรงดน้ำก่อนเก็บผล                           ประมาณ 7-10 วัน  เพื่อให้ชมพู่มีความหวานขึ้น

การปฏิบัติอื่นๆ 
         การตัดแต่งกิ่งจะนิยมทำการตัดให้สูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร เพื่อง่ายต่อการเก็บการจัดทรงพุ่มการห่อผล และการตัดแต่งกิ่งหลังจากเก็บผลผลิตแล้ว ช่วงที่ติดดอกต้องตัดแต่งดอกออกด้วย โดยให้เหลือในช่อได้แล้วแต่ความเหมาะสมหรือกิ่งหนึ่งไว้ประมาณ 4-5 ช่อ ๆละ 3-4 ผลช่อที่อยู่ใกล้ๆยอดไม่ควรเก็บไว้ เหลือไว้เฉพาะช่อดอกภายในทรงพุ่ม จะทำให้ผลผลิตดีกว่า

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช 
         การตัดแต่งกิ่งจะนิยมทำการตัดให้สูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร เพื่อง่ายต่อการเก็บการจัดทรงพุ่ม การห่อผล และการตัดแต่งกิ่งหลังจากเก็บผลผลิตแล้ว ช่วงที่ติดดอกต้องตัดแต่งดอกออกด้วยโดยให้เหลือในช่อได้แล้วแต่ความเหมาะสมหรือกิ่งหนึ่งไว้ประมาณ 4-5 ช่อๆละ 3-4 ผลช่อที่อยู่ใกล้ๆยอดไม่ควรเก็บไว้เหลือไว้เฉพาะช่อดอกภายในทรงพุ่ม จะทำให้ผลผลิตดีกว่า

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช
         •  ระยะติดผลให้ป้องกันโรคแอนแทรคโนสหรือผลเน่า โดยการพ่นสารเบนเลทหรือคาร์เบนดาร์ซิล
         •  แมลงวันทองป้องกันโดยการห่อผลหรือพ่นสารโดเมทโทเอท โมโนโครโตรฟอสหรือเหยื่อพิษ
             สารเมธธิลยูจินอลผสมกับมาลาไธออน
         •  หนอนแดงจะเจาะกินผลในช่วงดอกตูมๆอยู่ ป้องกันโดยใช้เมธาดิโดฟอส
         •  เพลี้ยไฟกัดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ยอดอ่อน ช่อดอก ป้องกันโดยใช้สารไดเมทโธเอท


การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
        ก่อนเก็บเกี่ยว โดยเริ่มห่อผลหลังจากดอกบานแล้วประมาณ 7 วัน ในช่วงที่ดอกเริ่มมีการพัฒนาเป็นรูปร่างของผลที่ชัดเจนควรปลิดให้เหลือช่อละ 3-4 ผลเท่านั้น โดยใช้ถุงพลาสติก ขนาด 6 x 14 นิ้ว เจาะรูไม่ต่ำกว่า 8 รู เพื่อจะช่วยให้ชมพู่มีผิวสวยขึ้น และป้องกันแมลงวันผลไม้
การเก็บเกี่ยว เริ่มเก็บเกี่ยวได้หลังจากดอกบานแล้ว 30-35 วัน หรือ 25-30 วัน หลังห่อผล ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้า โดยสังเกตลักษณะผิว โดยสีผิวจะเปลี่ยนและมีผลขนาดใหญ่ขึ้น ควรใช้กรรไกรตัดบริเวณขั้วในที่มือเอื้อมไม่ถึง หรือใช้ตะกร้อผ้าทำเป็นถุงรองรับผล และที่สำคัญคือ อย่าให้ผลผลิตช้ำ หรือเสียหาย
การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว นำมาไว้ในโรงเรือน พร้อมทั้งทำความสะอาด และคัดขนาดผลโดยเลือกผลที่เน่าเสีย หรือไม่ได้คุณภาพ จากนั้นนำไปบรรจุลงในเข่งหรือตะกร้า โดยพื้นจะต้องบุด้วยใบตองเพื่อป้องกันผลช้ำ

การเก็บรักษา
  •  ถ้าเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15-17 องศา จะเก็บได้ประมาณ 10-15 วัน  
  •  กรณีส่งออกจะเก็บอุณหภูมิ 5 องศา จะเก็บได้ประมาณ 30 วัน

อ้างถึง

http://www.aopdh01.doae.go.th/Waxaapple2.html

ชมพู่เพชรชมพูพล

         พันธุ์ของชมพู่เมืองเพชรมาจากกรุงเทพฯ ก่อนจะกระจายไปทั่วใน จ.เพชรบุรี จริงๆแล้วชมพู่เพชรมีหลายพันธุ์เช่น พันธุ์เพชรชมพูพน เพชรสุวรรณ แต่ที่ขึ้นชื่อคือ "สายพันธุ์เพชรสายรุ้ง" ซึ่งมีผลใหญ่และรสชาติหวานกรอบ นิยมปลูกกันมากริมแม่น้ำเพชรแถบ อ. เมือง อ.บ้านลาด และ อ. ท่ายาง เพราะเป็นผลไม้ต้องการน้ำมากกว่าผลไม้อื่นๆ และแถบริมแม่น้ำก็มีตะกอนทับถมอุดมสมบรุณ์ รวมทั้งสามารถระบายน้ำได้ดีจึงทำให้ชมพู่มีรสชาติดี
ส่วนการบำรุงดูแลต้นชมพู่นั้น จะทำนั่งร้านไม้ไผ่เพื่อใช้ในการปีนขึ้นไปห่อผลเมื่อชมพู่ติดลูก เพราะชมพู่มีผิวบางหากไม่ได้ห่อผลจะเป็นรอยทำให้เสียราคา เวลาเก็บก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยรุ่นแรกจะออกตั้งแต่ต้นปีและช่วงที่ออกชุมมากที่สุดประมาณเดือน ก.พ.-พ.ค.
การปฏิบัติดูแลรักษา
        1. การให้น้ำ    เนื่องจากชมพู่เป็นพืชชอบน้ำ ดังนั้นในการผลิตชมพู่จึงจำเป็นต้องมีการให้น้ำชมพู่อย่างสม่ำเสมอ วิธีการให้น้ำย่อมแตกต่างไปตามวิธีการปลูก และสภาพพื้นที่ซึ่งจำแนกออกเป็น 3 วิธี ใหญ่ ๆ ดังนี้
             1.1 เรือพ่นน้ำ    วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับการให้น้ำในร่องสวนในที่ราบลุ่มภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคตะวันออก วิธีนี้ต้องคำนึงถึงความแรงน้ำที่จะพ่นออกมา ถ้าแรงเกินไปจะทำให้หน้าดินแน่นและเกิดการชะล้างปุ๋ยไปจากหน้าดิน
             1.2 สายยาง    วิธีนี้เหมาะสำหรับการปลูกชมพู่ในที่ดอนและเป็นสวนขนาดเล็ก เป็นวิธีที่สะดวกแต่ต้องคอยเปลี่ยนตำแหน่ง และหลุมปลูกเป็นระยะ ๆ ไป ต้องคำนึงถึงแรงดันน้ำและปริมาณที่ให้ โดยต้องคำนึงถึงการชะล้างที่อาจจะเกิดที่บริเวณหน้าดินได้
              1.3 แบบหัวพ่นฝอย    แบบมินิสปริงเกอร์ (Mini springker) วิธีนีนิยมกันมากวิธีหนึ่ง เพราะประหยัดแรงงานและเวลา และยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ลดการชะล้างของแรงน้ำที่มีต่อปุ๋ยในแปลง อีกทั้งสามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ถูกต้อง นอกจากนี้วิธีนี้ยังสามารถให้ปุ๋ยผสมไปกับน้ำได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม ในการใช้ระบบน้ำต้องเสียค่าติดตั้งมากกว่าวิธีอื่น ๆ

   ในการผลิตชมพู่เป็นการค้าเพื่อให้ได้ชมพู่มีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาด เกษตรกรจำเป็นต้องมีการให้ปุ๋ยอย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับความต้องการของต้นชมพู่ สามารถจำแนกเป็น 2 ประเภท

            1. ปุ๋ยคอก    ซึ่งนอกจากใส่เตรียมหลุมปลูกแล้ว เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยคอกอีกประมาณ 5 - 10 กก. / ต้น ชนิดปุ๋ยคอกแล้วแต่จะสามารถจัดหามาได้ เช่น ปุ๋ยมูลไก่ มูลหมู และมูลวัว เป็นต้น แต่ที่สำคัญของการให้ปุ๋ยคอกนั้น ปุ๋ยคอกทุกชนิดต้องสลายตัวเรียบร้อยแล้ว
            2. ปุ๋ยเคมี    สำหรับการใส่ปุ๋ยเคมีนี้เกษตรกรควรพิจารณาตามระยะการเติบโต และอายุของต้นชมพู่และปริมาณผลผลิตที่ให้ในฤดูกาลที่ผ่านมาด้วย ก็จะช่วยให้สามารถคำนวณปริมาณได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น จึงแบ่งออกเป็น
            2.1 สำหรับต้นชมพู่ที่ยังไม่ให้ผล ช่วงนี้ชมพู่ต้องการปุ๋ยเพื่อการเจริญเติบโตทางด้านลำต้น กิ่ง ใบ เป็นหลัก ปุ๋ยเคมีควรใช้สูตรเสมอ เช่น 15 - 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 16 โดยให้ปริมาณครึ่งหนึ่งของอายุต้น ดังนั้นชมพู่ที่ปลูกปีแรกควรให้ปุ๋ยเคมีประมาณ 500 กรัม โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ในช่วงต้นฤดูฝน 1 ครั้ง และปลายฤดูฝนอีก 1 ครั้ง
            2.2 ในต้นที่ให้ผลแล้วอายุ 2 ปี ขึ้นไป
                 ช่วงก่อนหลังเก็บผล    ต้องมีการบำรุงต้น กิ่ง ก้าน ใบ ควรใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15 - 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 16 ในอัตราครึ่งหนึ่งของอายุต้นหรือประมาณ 500 กรัม / ต้น
                 ช่วงก่อนออกดอก    เพื่อให้ชมพู่ออกดอกมากขึ้นนั้น ควรใส่ปุ๋ยที่มีตัวกลางสูง เช่น 12 - 24 - 12 หรือ 8 - 24 - 24 ในอัตราส่วน 200 - 300 กรัม / ต้น
                 ช่วงพัฒนาผล    หลังจากชมพู่ติดผลแล้วนั้น ผลจะมีการพัฒนาในระยะแรก จะมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 16 ปริมาณ 200 - 300 กรัม / ต้น หลังผลใหญ่ขึ้นแล้วก่อนที่เก็บผล 1 เดือน เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยตัวท้ายสูงเช่น สูตร 13 - 13 - 21 ปรือ 14 - 14 - 21 ปริมาณ 200 - 300 กรัม / ต้น
     3. ปุ๋ยทางใบ    เป็นปุ๋ยที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ของการเจริญเติบโตของชมพู่ เช่น การใช้ไทโอยูเรีย เพื่อการเร่งให้ชมพู่แตกใบอ่อนพร้อมกัน หรือการพัฒนาผลชมพู่ให้มีคุณภาพดี ในพื้นที่บางแห่งที่มีน้ำไม่เพียงพอก็สามารถใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 15 - 30 - 30 อัตรา 20 กรัม / น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 ครั้ง ควรห่างกันครั้งละ 7 วัน และไม่ควรงดการให้ปุ๋ยก่อนเก็บเกี่ยว 2 สัปดาห์
    วิธีการใส่ปุ๋ย
         1. ปุ๋ยคอก    นอยมหว่านในบริเวณทรงพุ่มและนอกทรงพุ่มเล็กน้อย ซึ่งควรมีการพรวนดินห่างจากชายทรงพุ่มออกไปเล็กน้อย ประมาณ 30 เซนติเมตร
         2. ปุ๋ยเคมี    ขุดเป็นวงแหวนรอบชายทรงพุ่ม หรือเจาะเป็นหลุม ๆ ตามแนวทรงพุ่ม แล้วโรยปุ๋ยลงไปแล้วกลบดินเพื่อป้องกันการสูญเสียปุ๋ยไป โดยการระเหิดหรือถูกชะล้างโดยน้ำที่ให้หรือฝนตก
         3. ปุ๋ยทางใบ    ควรผสมปุ๋ยตามฉลากแนะนำ ควรผสมสารจับใบ และควรทำการฉีดพ่นในช่วงเช้าก่อนแดดจัด ไม่ควรใช้ปุ๋ยทางใบในอัตราที่เข้มข้นมากเกินไป เพราะจะทำให้ชมพู่ใบไหม้ได้
อ้างถึง
http://www.thaigoodview.com/node/73642

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558





ชมพู่ทับทิมจันทร์                        
          บางคนเปรียบชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ว่าเป็นชมพู่   ปราบเซียน หรือ  ทับทิมจน  เพราะลักษณะทางธรรมชาติประจำสายพันธุ์หลายอย่างต่างจากชมพู่ทั่วไป คนที่จะปลูกทับทิมจันทร์ให้ประสบความสำเร็จจริงๆนั้นต้องเข้าใจถึงช่วงพัฒนาการแต่ละระยะอย่างแท้จริง  โดยเฉพาะ  น้ำ-สภาพอากาศ-ธาตุอาหาร ว่าชมพู่ทับทิมจันทร์ต้องการหรือไม่ต้องการอย่างไร จากนั้นจึงเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า  
ชมพู่ทับทิมจันทร์ เป็นผลไม้ที่โดดเด่น ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเหนือชมพู่พันธุ์อื่นใด สร้างความสำเร็จให้กับผู้ปลูกมามากต่อมาก ขณะเดียวกันผู้ปลูกจำนวนมากประประสบความสำเร็จในช่วง 2-3 ปี แรก หลังจากนั้นขาดทุน ต้องทิ้งสวนหรือโค่นทิ้ง ปลูกพืชอย่างอื่นกันมากมายเช่นกัน ทำไมเกษตรกรบางคนปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ แล้วสำเร็จอย่างยั่งยืน บางคนสำเร็จแบบชั่วคราว คิดเหมือนกันแต่ได้ผลแตกต่างกัน

         การปลูก ชมพู่ทับทิมจันทร์ 
ปลูกได้ทุกสภาพดิน ถ้าหากเกษตรกรมีหลักคิดว่าดินปรับปรุงได้ ดินจะดีไม่ดีอยู่ที่เราปรับปรุงบำรุง ดินที่ดีอยู่เดิมหากเราไม่รู้จักปรับปรุงบำรุงดิน ไม่ช้าดินก็เสื่อม และปลูกพืชอะไรก็ไม่ได้ผล ดินที่ไม่มีคุณภาพ หากเรารู้จักปรับปรุงบำรุงดิน โดยเติมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ไม่นานดินก็จะสมบูรณ์ ปลูกพืชชนิดใดก็ได้ผล การเลือกพื้นที่ปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ จะต้องดูแหล่งน้ำเป็นหลัก เพราะพืชชนิดนี้ต้องการน้ำมาก แต่ก็ไม่ชอบน้ำท่วมขัง กานปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ในพื้นที่ลุ่ม เกษตรกรจะต้องยกร่อง ขนาดความกว้างของร่อง 6-8 เมตร ความสูงขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ การปลูกนำกิ่งพันธุ์มาปลูก โดยปลูกแถวเดียวในแต่ละร่อง คือปลูกตรงกลางร่อง ระยะห่างห่างระหว่างต้นประมาณ 6-7 เมตร ไร่ ปลูกได้ประมาณ 33 ต้น การปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ จะต้องหลีกเลี่ยงสารเคมีโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้ายาฆ่าแมลง หรือ ปุ๋ยเคมีชนิดต่างๆ
          ชมพู่ทับทิมจันทร์จะเริ่มออกดอกในช่วงเดือนสิงหาคม จะทยอยอกดอกทั้งปี ไปสิ้นสุดในเดือนเมษายน จะพักต้น 3 เดือน เมื่อชมพู่เริ่มติดดอก เกษตรกรจะต้องแต่งช่อผลโดยปลิดลูกออกให้เหลือช่อละ 4 ผล ปริมาณนี้เมื่อเติบโตเต็มที่จะเป็นที่ต้องการของตลาด คือ ขนาด 6-7 ผล ต่อ กิโลกรัม เมื่อแต่งช่อผลแล้วก็ทำการห่อช่อผลด้วยถุงพลาสติก ป้องกันแมลงเข้าไปกัดกิน
          การป้องกันแมลงให้ใช้สารสมุนไพรชีวภาพ ประกอบด้วย หัวข่าแก่ ตะไคร้หอม สะเดา หมัดไว้ประมาณ 3 คืน แล้วนำไปฉีดพ่นไล่แมลง ชมพู่ทับทิมจันทร์ของ คุณธนิกา ให้ผลผลิตคิดเป็นเงินต้นละไม่ต้องกว่า 25,000 บาท ต่อปี ผู้ที่สนใจจะปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ จะต้องศึกษาทำความเข้าใจ เรื่องดิน การใช้ปุ๋ย การให้น้ำเป็นอย่างดี เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลในปีหนึ่งๆ จะต้องตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง กิ่งที่ไม่ต้องการก็ต้องตัดออก บริเวณโคนต้นต้องเก็บกวาดเอาใบออกให้หมด ป้องกันแมลงลงไปไข่ เป็นการตักวงจรการเพาะพันธุ์ของแมลง
          พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 33 ต้น เกษตรกร ที่ต้องการจะปลูก ชมพู่ทับทิมจันทร์ นอกจากจะต้องการทำความเข้าใจในเรื่องการปลูก การบำรุงรักษาแล้ว จะต้องเข้าใจเรื่องการตลาดด้วย ปลูกแล้วจะส่งขายตลาดที่ไหน ขาบส่งหรือขายปลีก การผลิตกับการตลาดจะต้องคู่กัน ผู้ผลิตจะต้องเป็นนักการตลาดด้วย

          รายได้
  ต้นๆ 25,000 บาท รวมแล้วรายได้ต่อไร่ต่อปีตกประมาณ 82,500 บาท เป็นรายได้ที่ดีมาก ต้นทุนน้อยมากๆ เนื่องจากปุ๋ยปลาก็ทำเอง ต้นทุนค่าปุ๋ยไม่เกิน 2,000 บาทต่อไร่          

         ปัญหาเฉพะของทับทิมจันทร์ที่ต่างจากชมพู่พันธุ์ทั่วๆไปพอสรุปได้  ดังนี้
                       
           ปัญหา 
         เปิดตาดอกด้วย 13-0-46 แล้วใบแก่ร่วง หรือเปิดตาดอกด้วย "ไธโอยูเรีย" แล้วแตกใบอ่อนมาก
           แนวทางแก้ไข
         ไม่ต้องเปิดตาดอกด้วยปุ๋ยทางใบทั้ง 2 ตัวนี้  แต่ให้ 0-42-56 เปิดตาดอกแทน  โดยให้ตั้งแต่ระยะ  "สะสมตาดอก"  แล้วให้ไปเรื่อยๆติดต่อกันประมาณ 45-50 วัน  ทับทิมจันทร์จะเริ่มแทงดอกออกมาเอง  จากนั้นก็ให้ 0-42-56 ต่อไปอีกเพื่อใบอ่อน  จนกระทั่งดอกพัฒนาเป็นผลขนาดเล็ก (ระฆัง)  จึงเปลี่ยนมาเป็นสูตรบำรุงผลขยายขนาด

         ปัญหา  
         ทับทิมจันทร์ช่วงที่เริ่ม ออกดอก-ติดผลเล็ก  แตกใบอ่อนแล้วสลัดหรือทิ้งดอกและลูก
                         
         แนวทางแก้ไข                      
     1. ช่วงเริ่มออกดอกให้บำรุงทางใบด้วย  0-42-56 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (เน้น แคลเซียม โบรอน) 2-3 รอบ  ห่างกันรอบละ 3-5 วัน  จนเมื่อผลโตถึงระยะกระโถนและระยะระฆังให้สูตรเดิมนี้อีก 1 รอบเป็นรอบสุดท้าย                        
         ส่วนทางรากให้ 8-24-24 ซ้ำอีก 1 รอบ กับให้น้ำพอหน้าดินชื้น เพื่อป้องกันการแตกใบอ่อน จากนั้นให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงผลต่อไปตามปกติ  นิสัยทับทิมจันทร์เมื่อผลใหญ่แล้วจะไม่ทิ้งลูกและแตกใบอ่อนน้อยลง                      
     2. ให้ทางใบด้วย  กลูโคส หรือ นมสัตว์สด  ช่วงเริ่มออกดอกถึงติดเป็นผล 1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 15-20 วัน จะช่วยกดใบอ่อนไม่ให้ออกมาได้เช่นกัน.......และ
     3. ไม่ควรเปิดตาดอกตรงกับช่วงที่มีฝนหรืออากาศปิด                        

         ปัญหา                      
         ทับทิมจันทร์ระบบรากไม่แข็งแรง                      
         แนวทางแก้ไข                      
     1. ปลูกทูลเกล้าก่อน บำรุงเลี้ยงต้นทูลเกล้าจนได้ผลผลิตแล้วอย่างน้อย 1 รุ่น (อายุต้น 1-2 ปี) จากนั้นตัดต้นทูลเกล้าเหลือแต่ตอ นำยอดทับทิมจันทร์มาเสียบลงบนตอทูลเกล้า แล้วเลี้ยงยอดทับทิมจันทร์ตามปกติ 1-2 ปี  ยอดทับทิมจันทร์ก็จะโตให้ผลผลิตได้
     2. ทับทิมจันทร์ต้นโตให้ผลผลิตแล้ว  นำต้นกล้าทูลเกล้าลงปลูกข้างต้นทับทิมจันทร์ 1-2 ต้น แล้วจัดการเสริมรากให้แก่ทับทิมจันทร์                      
     3. ปลูกต้นกล้าทูลเกล้าลงไปก่อน  บำรุงเลี้ยงจนกระทั่งต้นโตขนาดเท่าดินสอดำ  แล้วจัดการเสียบยอดทับทิมจันทร์บนตอทูลเกล้านั้น                      
        ทับทิมจันทร์มีรากค่อนข้างน้อยและหาอาหารไม่เก่ง แต่ทูนเกล้ามีรากมากและหากินเก่ง
                       
      ปัญหา                      
       ทับทิมจันทร์ผลเล็ก  เมล็ดใหญ่  เนื้อบาง  สีไม่จัด  หรือสีจัดแต่ไม่เต็มผล
       แนวทางแก้ไข                      
    1. ช่วงเริ่มติดผลอย่าให้ขาดน้ำและอย่าให้น้ำมากเกิน                      
    2. ให้ฮอร์โมนจิ๊บเบอเรลลินอย่างถูกต้องตามอัตรา ตามกำหนด (3 รอบ) และตามสภาพอากาศ (อากาศร้อนให้ใช้น้อยลง หรือ อากาศหนาวใช้มากขึ้นจากอัตราใช้ในฉลาก)
    3. ให้ยิบซั่มธรรมชาติปีละ 2 ครั้ง และให้กระดูกป่นปีละ  1 ครั้ง จะช่วยบำรุงคุณภาพเนื้อ เปลือก กลิ่นและสี                      
    5. ไม่ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่มีกากน้ำตาลเป็นส่วนผสม โดยเฉพาะการให้ทางใบซึ่งกากน้ำตาลจะรัดลูกทำให้ลูกไม่โต  หากต้องการใช้จริงๆก็ให้ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ใช้กลูโคสเป็นส่วนผสมแทน
    6. ให้ฮอร์โมนเร่งหวานสูตรเด็ด (มูลค้างคาว) ก่อนเก็บเกี่ยวช่วยเร่งหวานและสี
                           
         ปัญหา                      
         ทับทิมจันทร์ออกดอกน้อยทำให้ได้ผลไม่ดก                      
         แนวทางแก้ไข                      
         ทับทิมจันทร์ต้องการใบจำนวนมากเพื่อสังเคราะห์อาหาร จึงจำเป็นต้องเรียกใบอ่อน 3 ชุด โดยมีวิธีทำดังนี้                      
         วิธีที่ 1 ....... ถ้าต้นสมบูรณ์ดี มีการเตรียมดินและปรับปรุงบำรุงดินสม่ำเสมอต่อเนื่องมาหลายๆปีแล้ว  หลังจากใบอ่อนชุดแรกเพสลาดให้เรียกใบอ่อนชุด 2 ต่อ  ใบชุด 2 นี้อาจจะออกไม่พร้อมกันทั้งต้นเหมือนชุดแรกแต่ไม่ควรออกห่างกันไม่เกิน 7-10 วัน หลังจากใบอ่อนชุด 2  เพสลาดก็ให้เรียกใบอ่อนชุด 3 ต่อได้เลยอีกเช่นกัน  การที่ใบอ่อนชุด 2 ออกไม่พร้อมกันนั้นจะส่งผลให้ใบอ่อนชุด  3 ออกไม่พร้อมกันทั้งต้นอีกด้วย  และสุดท้ายเมื่อใบอ่อนชุด  3 เพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติต่อไป                      

         วิธีที่ 2 ....... หลังจากใบอ่อนชุดแรกแผ่กางแล้วเร่งให้เป็นใบแก่  ได้ใบแก่แล้วงดน้ำให้ใบสลดจนใบแก่โคนกิ่งร่วง 1-2 ใบก็ให้ลงมือเรียกใบอ่อนชุด  2   เมื่อใบอ่อนชุด 2 แผ่กางให้เร่งเป็นใบแก่   เมื่อใบชุด  2 เป็นใบแก่แล้วงดน้ำให้ใบสลดจนใบแก่โคนกิ่งร่วง 1-2 ใบก็ให้ลงมือเรียกใบอ่อนชุด  3 และสุดท้ายเมื่อใบอ่อนชุด  3 เพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติ                      
         (วิธีที่ 1 ได้ผลดีกว่าวิธีที่ 2 เพราะต้นจะมีอาการโทรมน้อยกว่า......)
                         
เทคนิคตัดแต่งกิ่งแบบเฉพาะตัวของทับทิมจันทร์                      
       
ก่อนลงมือเปิดตาดอกให้สำรวจผลจากการปฏิบัติบำรุงตั้งแต่เริ่มต้น (ตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อน)   จนกระทั่งถึงขั้นตอน งดน้ำ-ใบสลด ว่าแต่ละช่วงการบำรุงนั้น ต้นมีอาการตอบสนองดังต่อไปนี้หรือไม่ อย่างไร และเพียงใด                                            
      - บำรุงต้นจนเริ่มแทงยอดอ่อนชุด 1 เสียก่อนแล้วจึงตัดแต่งกิ่งทั้งต้น  เปิดหน้าดินโคนต้น  พร้อมกับงดน้ำ 15-20 วัน เมื่อเห็นว่าใบแก่เขียวเข้มเริ่มสลดและใบแก่โคนกิ่งเริ่มร่วงแล้วให้ใส่ 25-7-7  ระดมให้น้ำวันเว้นวัน  ประมาณ 7 วันจะแตกใบอ่อนออกมาเป็นใบอ่อนชุด 2
      - ใบอ่อนชุด 2 เพสลาดให้ใส่  8-24-24  หรือ  9-26-26  พร้อมกับเร่งใบให้แก่เร็วโดยฉีดพ่นปุ๋ยทางใบด้วยสูตร 0-39-39 (2 รอบ) ห่างกันรอบละ 5-7 วัน เมื่อใบแก่จัดแล้วให้งดน้ำอีกครั้งประมาณ 15-20 วัน  ระหว่างงดน้ำนี้ถ้าชมพู่เกิดอาการอั้นตาดอกก็ให้ลงมือเปิดตาดอกได้  แต่ถ้าไม่อั้นตาดอกให้บำรุงด้วยสูตรเดิมและวิธีเกิดอีก  1 รอบ
       - หลังจากได้ดอกออกมาแล้วก็ให้บำรุงตามขั้นตอนปกติต่อไป



อ้างถึง
http://www.paiboonrayong.com/articles/42012576/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C.html