วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558





ชมพู่ทับทิมจันทร์                        
          บางคนเปรียบชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ว่าเป็นชมพู่   ปราบเซียน หรือ  ทับทิมจน  เพราะลักษณะทางธรรมชาติประจำสายพันธุ์หลายอย่างต่างจากชมพู่ทั่วไป คนที่จะปลูกทับทิมจันทร์ให้ประสบความสำเร็จจริงๆนั้นต้องเข้าใจถึงช่วงพัฒนาการแต่ละระยะอย่างแท้จริง  โดยเฉพาะ  น้ำ-สภาพอากาศ-ธาตุอาหาร ว่าชมพู่ทับทิมจันทร์ต้องการหรือไม่ต้องการอย่างไร จากนั้นจึงเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า  
ชมพู่ทับทิมจันทร์ เป็นผลไม้ที่โดดเด่น ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเหนือชมพู่พันธุ์อื่นใด สร้างความสำเร็จให้กับผู้ปลูกมามากต่อมาก ขณะเดียวกันผู้ปลูกจำนวนมากประประสบความสำเร็จในช่วง 2-3 ปี แรก หลังจากนั้นขาดทุน ต้องทิ้งสวนหรือโค่นทิ้ง ปลูกพืชอย่างอื่นกันมากมายเช่นกัน ทำไมเกษตรกรบางคนปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ แล้วสำเร็จอย่างยั่งยืน บางคนสำเร็จแบบชั่วคราว คิดเหมือนกันแต่ได้ผลแตกต่างกัน

         การปลูก ชมพู่ทับทิมจันทร์ 
ปลูกได้ทุกสภาพดิน ถ้าหากเกษตรกรมีหลักคิดว่าดินปรับปรุงได้ ดินจะดีไม่ดีอยู่ที่เราปรับปรุงบำรุง ดินที่ดีอยู่เดิมหากเราไม่รู้จักปรับปรุงบำรุงดิน ไม่ช้าดินก็เสื่อม และปลูกพืชอะไรก็ไม่ได้ผล ดินที่ไม่มีคุณภาพ หากเรารู้จักปรับปรุงบำรุงดิน โดยเติมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ไม่นานดินก็จะสมบูรณ์ ปลูกพืชชนิดใดก็ได้ผล การเลือกพื้นที่ปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ จะต้องดูแหล่งน้ำเป็นหลัก เพราะพืชชนิดนี้ต้องการน้ำมาก แต่ก็ไม่ชอบน้ำท่วมขัง กานปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ในพื้นที่ลุ่ม เกษตรกรจะต้องยกร่อง ขนาดความกว้างของร่อง 6-8 เมตร ความสูงขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ การปลูกนำกิ่งพันธุ์มาปลูก โดยปลูกแถวเดียวในแต่ละร่อง คือปลูกตรงกลางร่อง ระยะห่างห่างระหว่างต้นประมาณ 6-7 เมตร ไร่ ปลูกได้ประมาณ 33 ต้น การปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ จะต้องหลีกเลี่ยงสารเคมีโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้ายาฆ่าแมลง หรือ ปุ๋ยเคมีชนิดต่างๆ
          ชมพู่ทับทิมจันทร์จะเริ่มออกดอกในช่วงเดือนสิงหาคม จะทยอยอกดอกทั้งปี ไปสิ้นสุดในเดือนเมษายน จะพักต้น 3 เดือน เมื่อชมพู่เริ่มติดดอก เกษตรกรจะต้องแต่งช่อผลโดยปลิดลูกออกให้เหลือช่อละ 4 ผล ปริมาณนี้เมื่อเติบโตเต็มที่จะเป็นที่ต้องการของตลาด คือ ขนาด 6-7 ผล ต่อ กิโลกรัม เมื่อแต่งช่อผลแล้วก็ทำการห่อช่อผลด้วยถุงพลาสติก ป้องกันแมลงเข้าไปกัดกิน
          การป้องกันแมลงให้ใช้สารสมุนไพรชีวภาพ ประกอบด้วย หัวข่าแก่ ตะไคร้หอม สะเดา หมัดไว้ประมาณ 3 คืน แล้วนำไปฉีดพ่นไล่แมลง ชมพู่ทับทิมจันทร์ของ คุณธนิกา ให้ผลผลิตคิดเป็นเงินต้นละไม่ต้องกว่า 25,000 บาท ต่อปี ผู้ที่สนใจจะปลูกชมพู่ทับทิมจันทร์ จะต้องศึกษาทำความเข้าใจ เรื่องดิน การใช้ปุ๋ย การให้น้ำเป็นอย่างดี เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลในปีหนึ่งๆ จะต้องตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง กิ่งที่ไม่ต้องการก็ต้องตัดออก บริเวณโคนต้นต้องเก็บกวาดเอาใบออกให้หมด ป้องกันแมลงลงไปไข่ เป็นการตักวงจรการเพาะพันธุ์ของแมลง
          พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 33 ต้น เกษตรกร ที่ต้องการจะปลูก ชมพู่ทับทิมจันทร์ นอกจากจะต้องการทำความเข้าใจในเรื่องการปลูก การบำรุงรักษาแล้ว จะต้องเข้าใจเรื่องการตลาดด้วย ปลูกแล้วจะส่งขายตลาดที่ไหน ขาบส่งหรือขายปลีก การผลิตกับการตลาดจะต้องคู่กัน ผู้ผลิตจะต้องเป็นนักการตลาดด้วย

          รายได้
  ต้นๆ 25,000 บาท รวมแล้วรายได้ต่อไร่ต่อปีตกประมาณ 82,500 บาท เป็นรายได้ที่ดีมาก ต้นทุนน้อยมากๆ เนื่องจากปุ๋ยปลาก็ทำเอง ต้นทุนค่าปุ๋ยไม่เกิน 2,000 บาทต่อไร่          

         ปัญหาเฉพะของทับทิมจันทร์ที่ต่างจากชมพู่พันธุ์ทั่วๆไปพอสรุปได้  ดังนี้
                       
           ปัญหา 
         เปิดตาดอกด้วย 13-0-46 แล้วใบแก่ร่วง หรือเปิดตาดอกด้วย "ไธโอยูเรีย" แล้วแตกใบอ่อนมาก
           แนวทางแก้ไข
         ไม่ต้องเปิดตาดอกด้วยปุ๋ยทางใบทั้ง 2 ตัวนี้  แต่ให้ 0-42-56 เปิดตาดอกแทน  โดยให้ตั้งแต่ระยะ  "สะสมตาดอก"  แล้วให้ไปเรื่อยๆติดต่อกันประมาณ 45-50 วัน  ทับทิมจันทร์จะเริ่มแทงดอกออกมาเอง  จากนั้นก็ให้ 0-42-56 ต่อไปอีกเพื่อใบอ่อน  จนกระทั่งดอกพัฒนาเป็นผลขนาดเล็ก (ระฆัง)  จึงเปลี่ยนมาเป็นสูตรบำรุงผลขยายขนาด

         ปัญหา  
         ทับทิมจันทร์ช่วงที่เริ่ม ออกดอก-ติดผลเล็ก  แตกใบอ่อนแล้วสลัดหรือทิ้งดอกและลูก
                         
         แนวทางแก้ไข                      
     1. ช่วงเริ่มออกดอกให้บำรุงทางใบด้วย  0-42-56 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (เน้น แคลเซียม โบรอน) 2-3 รอบ  ห่างกันรอบละ 3-5 วัน  จนเมื่อผลโตถึงระยะกระโถนและระยะระฆังให้สูตรเดิมนี้อีก 1 รอบเป็นรอบสุดท้าย                        
         ส่วนทางรากให้ 8-24-24 ซ้ำอีก 1 รอบ กับให้น้ำพอหน้าดินชื้น เพื่อป้องกันการแตกใบอ่อน จากนั้นให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงผลต่อไปตามปกติ  นิสัยทับทิมจันทร์เมื่อผลใหญ่แล้วจะไม่ทิ้งลูกและแตกใบอ่อนน้อยลง                      
     2. ให้ทางใบด้วย  กลูโคส หรือ นมสัตว์สด  ช่วงเริ่มออกดอกถึงติดเป็นผล 1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 15-20 วัน จะช่วยกดใบอ่อนไม่ให้ออกมาได้เช่นกัน.......และ
     3. ไม่ควรเปิดตาดอกตรงกับช่วงที่มีฝนหรืออากาศปิด                        

         ปัญหา                      
         ทับทิมจันทร์ระบบรากไม่แข็งแรง                      
         แนวทางแก้ไข                      
     1. ปลูกทูลเกล้าก่อน บำรุงเลี้ยงต้นทูลเกล้าจนได้ผลผลิตแล้วอย่างน้อย 1 รุ่น (อายุต้น 1-2 ปี) จากนั้นตัดต้นทูลเกล้าเหลือแต่ตอ นำยอดทับทิมจันทร์มาเสียบลงบนตอทูลเกล้า แล้วเลี้ยงยอดทับทิมจันทร์ตามปกติ 1-2 ปี  ยอดทับทิมจันทร์ก็จะโตให้ผลผลิตได้
     2. ทับทิมจันทร์ต้นโตให้ผลผลิตแล้ว  นำต้นกล้าทูลเกล้าลงปลูกข้างต้นทับทิมจันทร์ 1-2 ต้น แล้วจัดการเสริมรากให้แก่ทับทิมจันทร์                      
     3. ปลูกต้นกล้าทูลเกล้าลงไปก่อน  บำรุงเลี้ยงจนกระทั่งต้นโตขนาดเท่าดินสอดำ  แล้วจัดการเสียบยอดทับทิมจันทร์บนตอทูลเกล้านั้น                      
        ทับทิมจันทร์มีรากค่อนข้างน้อยและหาอาหารไม่เก่ง แต่ทูนเกล้ามีรากมากและหากินเก่ง
                       
      ปัญหา                      
       ทับทิมจันทร์ผลเล็ก  เมล็ดใหญ่  เนื้อบาง  สีไม่จัด  หรือสีจัดแต่ไม่เต็มผล
       แนวทางแก้ไข                      
    1. ช่วงเริ่มติดผลอย่าให้ขาดน้ำและอย่าให้น้ำมากเกิน                      
    2. ให้ฮอร์โมนจิ๊บเบอเรลลินอย่างถูกต้องตามอัตรา ตามกำหนด (3 รอบ) และตามสภาพอากาศ (อากาศร้อนให้ใช้น้อยลง หรือ อากาศหนาวใช้มากขึ้นจากอัตราใช้ในฉลาก)
    3. ให้ยิบซั่มธรรมชาติปีละ 2 ครั้ง และให้กระดูกป่นปีละ  1 ครั้ง จะช่วยบำรุงคุณภาพเนื้อ เปลือก กลิ่นและสี                      
    5. ไม่ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่มีกากน้ำตาลเป็นส่วนผสม โดยเฉพาะการให้ทางใบซึ่งกากน้ำตาลจะรัดลูกทำให้ลูกไม่โต  หากต้องการใช้จริงๆก็ให้ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ใช้กลูโคสเป็นส่วนผสมแทน
    6. ให้ฮอร์โมนเร่งหวานสูตรเด็ด (มูลค้างคาว) ก่อนเก็บเกี่ยวช่วยเร่งหวานและสี
                           
         ปัญหา                      
         ทับทิมจันทร์ออกดอกน้อยทำให้ได้ผลไม่ดก                      
         แนวทางแก้ไข                      
         ทับทิมจันทร์ต้องการใบจำนวนมากเพื่อสังเคราะห์อาหาร จึงจำเป็นต้องเรียกใบอ่อน 3 ชุด โดยมีวิธีทำดังนี้                      
         วิธีที่ 1 ....... ถ้าต้นสมบูรณ์ดี มีการเตรียมดินและปรับปรุงบำรุงดินสม่ำเสมอต่อเนื่องมาหลายๆปีแล้ว  หลังจากใบอ่อนชุดแรกเพสลาดให้เรียกใบอ่อนชุด 2 ต่อ  ใบชุด 2 นี้อาจจะออกไม่พร้อมกันทั้งต้นเหมือนชุดแรกแต่ไม่ควรออกห่างกันไม่เกิน 7-10 วัน หลังจากใบอ่อนชุด 2  เพสลาดก็ให้เรียกใบอ่อนชุด 3 ต่อได้เลยอีกเช่นกัน  การที่ใบอ่อนชุด 2 ออกไม่พร้อมกันนั้นจะส่งผลให้ใบอ่อนชุด  3 ออกไม่พร้อมกันทั้งต้นอีกด้วย  และสุดท้ายเมื่อใบอ่อนชุด  3 เพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติต่อไป                      

         วิธีที่ 2 ....... หลังจากใบอ่อนชุดแรกแผ่กางแล้วเร่งให้เป็นใบแก่  ได้ใบแก่แล้วงดน้ำให้ใบสลดจนใบแก่โคนกิ่งร่วง 1-2 ใบก็ให้ลงมือเรียกใบอ่อนชุด  2   เมื่อใบอ่อนชุด 2 แผ่กางให้เร่งเป็นใบแก่   เมื่อใบชุด  2 เป็นใบแก่แล้วงดน้ำให้ใบสลดจนใบแก่โคนกิ่งร่วง 1-2 ใบก็ให้ลงมือเรียกใบอ่อนชุด  3 และสุดท้ายเมื่อใบอ่อนชุด  3 เพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติ                      
         (วิธีที่ 1 ได้ผลดีกว่าวิธีที่ 2 เพราะต้นจะมีอาการโทรมน้อยกว่า......)
                         
เทคนิคตัดแต่งกิ่งแบบเฉพาะตัวของทับทิมจันทร์                      
       
ก่อนลงมือเปิดตาดอกให้สำรวจผลจากการปฏิบัติบำรุงตั้งแต่เริ่มต้น (ตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อน)   จนกระทั่งถึงขั้นตอน งดน้ำ-ใบสลด ว่าแต่ละช่วงการบำรุงนั้น ต้นมีอาการตอบสนองดังต่อไปนี้หรือไม่ อย่างไร และเพียงใด                                            
      - บำรุงต้นจนเริ่มแทงยอดอ่อนชุด 1 เสียก่อนแล้วจึงตัดแต่งกิ่งทั้งต้น  เปิดหน้าดินโคนต้น  พร้อมกับงดน้ำ 15-20 วัน เมื่อเห็นว่าใบแก่เขียวเข้มเริ่มสลดและใบแก่โคนกิ่งเริ่มร่วงแล้วให้ใส่ 25-7-7  ระดมให้น้ำวันเว้นวัน  ประมาณ 7 วันจะแตกใบอ่อนออกมาเป็นใบอ่อนชุด 2
      - ใบอ่อนชุด 2 เพสลาดให้ใส่  8-24-24  หรือ  9-26-26  พร้อมกับเร่งใบให้แก่เร็วโดยฉีดพ่นปุ๋ยทางใบด้วยสูตร 0-39-39 (2 รอบ) ห่างกันรอบละ 5-7 วัน เมื่อใบแก่จัดแล้วให้งดน้ำอีกครั้งประมาณ 15-20 วัน  ระหว่างงดน้ำนี้ถ้าชมพู่เกิดอาการอั้นตาดอกก็ให้ลงมือเปิดตาดอกได้  แต่ถ้าไม่อั้นตาดอกให้บำรุงด้วยสูตรเดิมและวิธีเกิดอีก  1 รอบ
       - หลังจากได้ดอกออกมาแล้วก็ให้บำรุงตามขั้นตอนปกติต่อไป



อ้างถึง
http://www.paiboonrayong.com/articles/42012576/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น