วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558



"ชมพู่มะเหมี่ยว"
ประโยชน์เปรี้ยวอมหวาน
"ชมพู่มะเหมี่ยว" มีลักษณะผลคล้ายลูกแอปเปิ้ล และมีกลิ่นหอมคล้ายๆ กลิ่นดอกกุหลาบ มีทั้งวิตามินเอและวิตามินซีสูง ป้องกันโรคหวัด เลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และนอกจากนั้น ผลไม้สีแดงอย่างชมพู่มะเหมี่ยวก็ยังมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่นี้ช่วยลบล้างสารก่อมะเร็ง แถมสารแอนโทไซยานินยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตได้อีกด้วย ชมพู่มะเหมี่ยวมีรสชาติหวานอร่อย เนื้อนุ่ม น่ารับประทานจึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
วิธีการเพาะปลูกชมพู่มะเหมี่ยวนั้น มีด้วยกันหลายวิธี เริ่มแรกขยายพันธุ์ด้วยการใช้การเพาะเมล็ดในถุงพลาสติก ซึ่งมีขุยมะพร้าวและปุ๋ยคอกผสมอยู่ด้วย รดน้ำทุกวัน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ข้อเสียคือ เมื่อโตขึ้นลำต้นจะสูง ให้ผลผลิตช้า และที่สำคัญคือกลายพันธุ์ได้ง่าย จึงหันมาใช้วิธีทาบกิ่งแทน ซึ่งปรากฏว่าได้ผลผลิตดีกว่าวิธีแรก เนื่องจากการทาบกิ่งพันธุ์เป็นการช่วยเสริมความแข็งแรงของราก และการเจริญเติบโตของลำต้นก่อนนำไปปลูกได้ดี ยังเป็นการย่นระยะเวลาในการเลี้ยงต้นพันธุ์ และต้นของชมพู่มะเหมี่ยวก็ยังเป็นพุ่มสวยงาม ต้นกล้าที่ได้จากการทาบกิ่งเมื่ออายุได้ 6 เดือนก็สามารถย้ายไปปลูกได้เลย ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการดูแลรักษาซึ่งก็ไม่ยุ่งยากมากนัก เพียงแต่รดน้ำวันเว้นวัน และให้ปุ๋ยตามความจำเป็น คือให้ปุ๋ยสูตรเสมอ15-15-15 ช่วงก่อนออกดอก ส่วนในช่วงให้ผลผลิตต้องใช้สูตร 13-13-2
ชมพู่มะเหมี่ยวจะให้ผลผลิตเมื่ออายุ 3-5 ปี ในระยะแรกจะให้ผลผลิตประมาณ 20-30 กิโลกรัมต่อ1 ต้น เมื่อลำต้นมีอายุเกิน 10 ปีขึ้นไป ก็จะให้ผลผลิตประมาณ 60-80 กิโลกรัมต่อ 1 ต้นและต่อ1 ปี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและดินฟ้าอากาศด้วย ส่วนเรื่องการป้องกันและการกำจัดศัตรูพืชในชมพู่มะเหมี่ยว ศัตรูที่สำคัญของชมพู่มะเหมี่ยวคือหนอนที่ชอบเจาะเข้าไปทำลายลำต้น ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยหลาวไม้ทำเป็นลิ่มตอกอัดเข้าไปตรงรูที่หนอนเจาะ หนอนจะตายไปเอง ส่วนหนอนด้วงที่กัดกินใบ ที่ชอบระบาดในหน้าหนาว ควรใช้สารเคมีจำพวก "เมตโธมิล" หรือ "แลนเนต" ผสมกับสารป้องกันเชื้อรา ฉีดพ่นในช่วงชมพู่มะเหมี่ยวเริ่มติดผลเท่านั้น ซึ่งจะไม่เกิน 3 ครั้งต่อ 1 ปี แต่ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรฉีดพ่นสารเคมีใดๆ ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเคมี อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้
ช่วงเวลาการติดดอกถึงดอกบานของชมพู่มะเหมี่ยว ใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ช่วงติดผลอ่อนจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวจะใช้เวลาประมาณ 60 วันเมื่อผลชมพู่เริ่มโตประมาณหัวนิ้วมือและมีสีแดงออกเรื่อๆ เกษตรกรจะเริ่มใช้ถุงพลาสติกชนิดมีหูหิ้วขนาด 8 คูณ 10 นิ้ว ห่อผลชมพู่ เมื่อผลชมพู่มะเหมี่ยวแก่ได้ที่ก็จะออกสีแดงเข้ม และส่งกลิ่นหอมแสดงว่าพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะต้องระวังในการเก็บเกี่ยวเป็นพิเศษ ไม่ให้ผลช้ำเพราะชมพู่มะเหมี่ยวเป็นผลไม้ที่มีผิวเปลือกบาง และมีอายุในการขายค่อนข้างสั้น หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้วก็จะนำมาบรรจุในเข่งที่มีความหนาเป็นพิเศษบุด้วยใบตองทุกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผลชมพู่กระทบกัน
บ้านไหนมีฝีมือในการทำกับข้าวก็สามารถเก็บเอาเกสรเหล่านี้ไปปรุงเป็นอาหารจานเด็ดอย่าง "ยำเกสรชมพู่" ได้อร่อยกันไป หรือใครจะนำยอดอ่อน (ใบอ่อน) มากินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกก็ได้เช่นกัน



ชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้ ชื่อสามัญ Rose Apple[2]
ชมพู่น้ำดอกไม้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium jambos (L.) Alston จัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ (MYRTACEAE)[1]
สมุนไพรชมพู่น้ำดอกไม้ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะชมพู่ มะน้ำหอม (พายัพ), ชมพู่น้ำ ฝรั่งน้ำ (ภาคใต้), มะห้าคอกลอก (แม่ฮ่องสอน), มซามุด มะซามุต (น่าน), ยามูปะนาวา (มลายู-ยะลา) เป็นต้น[1],[2]
ลักษณะของชมพู่น้ำดอกไม้
ต้นชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโด-มาลายัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่นเดียวกับชมพู่แดง มีความสูงของต้นประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นพอเหมาะ ชอบแสงแดดส่องถึงแบบเต็มวัน ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หลักอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ที่มาจากประเทศไทยผลจะเป็นสีเขียวอ่อน และพันธุ์ที่มาจากประเทศมาเลเซียผลเป็นจะเป็นสีแดง โดยจะให้ผลหลังการปลูกประมาณ 2 ปี มักขึ้นตามป่าราบทั่วไป พบปลูกกันบ้างตามสวนเพื่อรับประทานหรือขายเป็นสินค้า
ผลชมพู่น้ำดอกไม้ ผลเป็นผลสดใช้รับประทานได้ ผลเป็นผลเดี่ยว ผลมีลักษณะเกือบกลม ผลดูคล้ายกับลูกจันสีเหลือง ปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 กลีบ ภายในผลกลวง ผลมีกลิ่นหอมคล้ายกับดอกนมแมว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม ผลดิบเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่สุกแล้วจะเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทอง เนื้อด้านในบางเป็นสีขาวนวลหรือสีเขียวอ่อน ส่วนเมล็ดเป็นสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่ มีรสหวานหอมชื่นใจ โดยจะเริ่มออกผลในช่วงปลายฤดูหนาว (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน)
การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ ทำได้ด้วยการนำเมล็ดหรือกิ่งตอนลงปลูก เกลี่ยดินกลบ แล้วนำใบตองมาปิดบริเวณโคนต้นเพื่อช่วยเก็บความชื้น เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง ถ้าเป็นกิ่งตอนให้ทำไม้ปักยึดผูกกับต้นไว้ด้วย เพื่อป้องกันการโค่นล้มจากลม ส่วนการป้องกันไม่ให้ต้นเฉา ควรนำมาปลูกใกล้บริเวณริมคลอง เนื่องจากพรรณไม้ชนิดนี้เป็นไม้ผลที่ชอบน้ำ และควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้านประมาณ 2 เมตร ชมพู่น้ําดอกไม้เป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว สามารถให้ผลได้ภายใน 2 ปี การดูแลรักษาก็ง่าย ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง เพียงแต่ห่อผลด้วยถุงพลาสติกเพื่อป้องกันแมลง กระรอก และนกมารบกวนเท่านั้น
สรรพคุณของชมพู่น้ำดอกไม้
-ผลใช้ปรุงเป็นยาชูกำลัง (ผล)
-ผลมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ (ผล)
-เปลือก ต้น และเมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาแก้เบาหวาน (เปลือก,ต้น,เมล็ด)
-ช่วยแก้ลมปลายไข้ (ผล)
-ใบมีสรรพคุณเป็นยาลดไข้ (ใบ)
-ใบใช้เป็นยาแก้ตาอักเสบ (ใบ)
-ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย (เปลือก,ต้น,เมล็ด)
- เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ท้องร่วงได้ดี (เปลือกต้น)
-เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิด (เมล็ด)
-ใบสดนำมาต้มกับน้ำใช้ล้างแผลสด (ใบ)
-ใบสดใช้ตำพอกรักษาโรคผิวหนัง (ใบ)






ชมพู่แก้มแหม่ม ชื่อวิทยาศาสตร์Syzygium samarangense เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Myrtaceae กิ่งก้านโค้งงอ ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ใบเหนียวคล้ายหนัง มีจุดใสบนใบ ก้านใบใหญ่ ดอกดอกตามยอดและซอกใบของใบที่ร่วงไปแล้ว ดอกช่อ กลีบเลี้ยงเป็นหลอดยาว กลีบดอกสีขาวอมเหลือง เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด ผลคล้ายลูกแพร์ มีปลายของกลีบเลี้ยงที่โค้งเข้าข้างในติดที่ปลายผล ผลสีแดงอ่อนจนถึงขาว เนื้อสีขาวคล้ายฟองน้ำ ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดแบนหรือกลม
มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนิยมปลูกไปทั้งภูมิภาค ในอินโดนีเซียนิยมนำไปทำโรยักหรือนำไปดองที่เรียกอาซีนัน เปลือกผลมีลักษณะคล้ายไขเคลือบ เนื้อค่อนข้างแห้ง มีกลิ่นหอม ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประ ประเทศมาเลเซียใช้ใบรักษาโรคผิวหนัง
ลักษณะ : เป็นไม้ผลลำต้นเดี่ยวทรงสูงตั้งตรงมีผิวผิวเปลือกลำต้นที่เป็นรอยขรุขระ แตกกิ่งก้านออกมากพอควร ใบ : เป็นรูปหอกปลายแหลมค่อนข้างยาว ส่วนแคบของใบกว้าง 3 - 5 เซนติเมตร และยาว 15 - 20 เซนติเมตร ใบหนาเป็นมันขอบใบเรียบและก้านใบสั้น ดอก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 7 เซนติเมตร มีสีขาว เกสรตัวผู้ มีจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผล ผลและรูปร่างของผลเป็นรูปทรงกลมแบนหรือรูปสามเหลี่ยมฐานกว้าง มีสีขาวอ่อนเนื้อขาวบางและกรอบ รสหวานมีกลิ่นหอม เมล็ด : เป็นสีน้ำตาล มีจำนวน 1 - 2 เมล็ด ถ้ามี 2 เมล็ด จะมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมประกัน 

ประโยชน์ : สามารถปลูกประดับตกแต่งสนามในเนื้อที่บ้านขนาดเล็กได้สามารถปลูก จำหน่ายผลผลิต และเป็นไม้ผลเศรษฐกิจด้วยก็ได้ ให้ร่มเงา สดชื่น ทางด้านสมุนไพร ผล ใช้ปรุงเป็นยาชูกำลังทำให้จิตใจเบิกบานใบ ใช้ลดไข้แก้เจ็บตา เมล็ดใช้แก้ท้องเสีย รักษาโรคเบาหวาน

1 ความคิดเห็น:

  1. ลำต้นแห้ง และใบชอบร่วงมีทางแก้มั๊ยครับ พอติดดอกก็ร่วงหมด ถ้าจะรักษาต้นต้องทำยังไงครับ

    ตอบลบ